เชิญติชมได้ที่เมล์นี้นะครับ

angel_memmory@hotmail.com

มีอะไรใหม่

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

การตกเป็นทาส การถูกกักขัง (การถูกผูกมัด)

การตกเป็นทาส การถูกกักขัง (การถูกผูกมัด)
มีหลายสิ่งหลายอย่างหรือในหลายๆทางที่ได้ผูกมัดพวกเรา เมื่อเรานึกถึง พระคำภีร์เรื่องราวเหตุการณ์ที่ถูกจับไปเป็นทาส คนอิสราเอล ได้ถูกจับไปเป็นทาสของกษัตริย์ เนบูชาเนซซา ของบาบิโลน หลังจากกรุงเยรูซาเล็มได้ร่วงลง อย่างไรก็ตาม คำว่า การถูกกักขัง การตกเป็นทาส หรือการถูกผูกมัด ที่พระคำภีร์ได้กล่าวถึงและได้มีการยกตัวอย่างไว้นั้น มีความหมายที่ลึกซึ้งหลายอย่าง

คำจำกัดความ ของ การตกเป็นทาส หมายถึงการถูกจับให้ติดคุก ขังคุก หรือถูกจำกัดบริเวณ และถูกอยู่ในสภาพกดดัน ภายใต้อำนาจของอีกคนหนึ่ง ในบทนี้ เราจะอธิบายหลายสิ่งหลายอย่างที่ได้ผูกมัดเรา ให้เราตกเป็นทาส ความสัมพันธ์ในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก และการตกเป็นทาสนี้ ทำให้ลดประสิทธิภาพการเป็นอิสระ ที่จะเคลื่อนไหว ในฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิตวิญญาณ

1 . การถูกผูกมัดฝ่ายวิญญาณ

2. การถูกผูกมัดโดยศาสนา

3 .การถูกกักขังจากครอบครัว

4 .ถูกผูกมัดโดยการทำงานจ้าง

5 .ความคิดที่ถูกกักขัง

การถูกผูกมัดฝ่ายวิญญาณ

เมื่อวิญญาณและจิตของวิญญาณของคนที่ได้รับการอวยพรจากพระเจ้า ( Bless seed) (นั้นหมายถึง เจ้าสาวของพระคริสต์และ แขกรับเชิญมางานเลี้ยงในวันแต่งงาน หลังจาก ได้รับบัพติสมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ) ได้ถูกใส่ไว้ในร่างกายของมนุษย์โลกและได้ให้มีชีวิตภายใต้จำกัดของร่างกายเนื้อหนังนี้ สถานะร่างจิตวิญญาณของเราที่อยู่ข้างใน ได้ถูกผูกมัดด้วยร่างกายฝ่ายเนื้อหนัง ที่ซึ่งร่างจิตวิญญาณของเราโดยปกติสามารถเคลื่อนไหว ในสถานะการณ์ที่อิสระ หมุนรอบทิศในความเร็วแสง สามารถเห็นการเกิดและดับของดวงดาว และการเกิดของรังสีแสงต่างๆ กาแลกซี ที่เกิดขึ้นในอยู่ในจักรวาลนี้

ร่างของจิตวิญญาณได้ถูกกำจัดอยู่ในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งการท่องเที่ยวนั้นได้ ได้จำกัด เหมือนเล็กเท่าลูกฟุตบอล ที่เราเรียกว่า โลกใบนี้

ร่างของจิตวิญญาณที่อยู่ภายใต้เลือดเนื้อ เนื้อหนัง จิตวิญญาณได้รับประสบการณ์ ความเจ็บปวดและความทุกข์ยากในร่างกายฝ่ายเนื้อหนัง ที่ซึ่ง ร่างของฝ่ายจิตวิญญาณแท้จริงนั้น ไม่มีความเจ็บปวดหรือความทุกข์ต่างๆให้เห็นปรากฏออกมา (สรุป ไม่มีความตาย ไม่มีการเจ็บปวด ไม่มีความเศร้าโศกเสียใจ ) พระเจ้าได้หมายถึง มนุษย์ได้ถูกกักขัง เป็นทาส อยู่ในประเทศอียิปต์ ดังนั้นเมื่อพระเจ้าได้อ้างอิง การทรงเรียกที่พระเจ้าได้เรียกพวกเขาออกจากประเทศอียิปต์ และทุกคนที่อาศัยความเข้าใจนี้ ที่จะทำความเข้าใจพระคำตอนนี้

ความรักของพระเจ้าสำหรับชนชาติอิสราเอลผู้ไม่มีบิดา
โฮเชยา 11:1 ครั้งเมื่ออิสราเอลยังเด็กอยู่ เราก็รักเขา เราได้เรียกบุตรชายของเราออกมาจากประเทศอียิปต์
God's Love for Faithless Israel
11:1 When Israel was a child, then I loved him, and called my son out of Egypt.

มีสองทางที่ได้ออกจาก ประเทศอียิปต์ คือการเสียชีวิตในร่างกายของเนื้อหนังและ การถูกรับไปกลางอากาศ (วิญญาณออกจากร่างกายเนื้อหนัง ในหลายๆสภาพ ขณะยังมีชีวิตอยู่ ) และยังมีอีกหลายๆอย่างในการถูกผูกมัดที่อยู่นอกเหนือจากนี้ แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาอธิบายในการวัดความรุนแรงฝ่ายวิญญาณ

การถูกผูกมัดโดยศาสนา

การถูกผูกมัดและถูกกักขังอยู่ในศาสนา จะมีประสิทธิภาพตราบเท่าที่คนหนึ่งยังคงจะเชื่อ อยู่ในความคิดของตัวเองที่ได้เลือกเชื่อตามแบบนี้ ตามศาสนาที่สอนกันมานี้ เหมือนคำสอนของมนุษย์ที่ผ่านเก็บมาไว้ที่โบสถ์ หรือตามธรรมศาลาต่างๆ นี่คือศาสนาที่พวกเขาได้เลือกที่จะเชื่อ และกอดรัดเอาไว้แน่น เลือกที่จะติดตาม เชื่อว่าสิ่งนั้นคือเป็นทางเดียวที่ถูกต้องในการที่จะเป็นทางผ่านไปในที่จะเกิดการมีความสันพันธ์กับพระเจ้า ปัญหาก็คือ ผู้ที่เชื่อแบบนั้นและได้จัดตั้งองค์กรศาสนาขึ้นมา คือการโกหกอย่างยิ่งใหญ่

พระคำภีร์ไบเบิ้ล ได้ให้เงื่อนไขในสิ่งที่พระเจ้าต้องการคือความสัมพันธ์ติดสนิทกับพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถที่จะไปรวมรวบองค์กรต่างๆหรือไม่มีผ่านบุคคลที่จะสามารถทำได้ ผู้ที่ซึ่งได้แสวงหาความสัมพันธ์ที่มีต่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ตรัสไว้ในพระคำภีร์บอกว่า ท่านจำเป็นต้องบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อที่จะรอด และอธิษฐานในพระนามพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ได้จำเป็นที่ต้องรวมองค์กรต่างๆ หรือบุคคลที่สาม

ดังนั้นทำไมผู้คนถึงเชื่อว่าต้องมีบางคนที่จะเป็นแหล่งกำเนิดที่จะมาเกี่ยวข้องว่ามาจากไหน ทำไมท่านต้องเอาตัวเองมาเกี่ยวข้องกับชื่อของโบสถ์ หรือชื่อผู้นำ หรือ ศาสนาใดๆ สำหรับทุกสิ่งที่พวกเขาได้พยายามที่จะเอามาเกี่ยวข้อง ได้นำมารวมมีอิทธิพลอยู่ในความสัมพันธ์ที่จะติดสนิทของพระเจ้าที่มีต่อแต่ละบุคคล

บุคคลมากมายได้ตกอยู่ในกับดักของที่โบสถ์ หรือศาสนา หรือถูกล้างสมองในความเชื่อที่เขาสามารถจะซื้อหรือได้สิทธิพิเศษในสิ่งที่เขาทำ นั้นคือได้มีโอกาศมากขึ้นที่จะไปสวรรค์ โดยการไปโบสถ์เป็นประจำ หรือการนับถือปฎิบัติตามคำสอนของศาสนา แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นโบสถ์หรือศาสนาได้ยึดและกักขังพวกเขา และสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ของพวกเขาและศาสนาของพวกเขา คือสิ่งที่จะเอาเขาออกจากสวรรค์(ไม่ได้เข้าสวรรค์) เพราะโบสถ์หรือศาสนา มีผู้บงการบังคับบัญชาอยู่คือซาตานวางแผนที่จะหลอกลวง แต่การหลอกลวงนี้ไม่ได้มีแรงกดดันอะไรมากมาย ถ้าผู้นั้นไม่ต้องจำเป็นที่จะไปโบสถ์แต่ได้ปรารถนาที่จะเอาเวลานั้นมาไกล้ชิดพระเจ้า โดยอ่านพระคำภีร์ ไบเบิ้ลบริสุทธิ์ และได้อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ กับพระเจ้า ค้นหาสิ่งที่นำไปสู่การยกโทษบาป พระ เจ้าก็จะมอบให้และพระองค์ก็มองดูท่าทีภายในใจและจะมอบการอภัยจากการกลับใจ จากบาปผิดที่ได้ทำและจะทรงนำเราสู่ความรอดโดยพระเมตตาของพระเจ้า ผ่านทางพระคำ พระเจ้าจะสำแดงความสัมพันธ์กับพระเจ้า และสิ่งผิดพลาดที่ได้ถูกสอนมาจากที่โบสถ์ หรือศาสนา และให้ย้ายสิ่งที่เขายึดและคิดว่าเชื่อถูกต้องจากคำสอนที่โบสถ์หรือศาสนานั้น มาเป็นความสัมพันธ์ที่ติดสนิทเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า

อิสยาห์ 34:16 จงเสาะหาและอ่านจากหนังสือของพระเยโฮวาห์ คนเหล่านี้จะไม่ขาดไปสักอย่างเดียว ไม่มีตัวใดที่จะไม่มีคู่ เพราะหนังสือนั้นได้บัญชาปากของเราแล้ว และพระวิญญาณของพระองค์ได้รวบรวมไว้
34:16 Seek ye out of the book of the LORD, and read: no one of these shall fail, none shall want her mate: for my mouth it hath commanded, and his spirit it hath gathered them.

การถูกกักขังและเป็นทาสจากครอบครัว

เมื่อไรก็ตามเมื่อสมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น สามี หรือ ภรรยา หรือบุตรชาย บุตรหญิง หรือคุณพ่อ หรือคุณแม่ น้องสาว หรือ พี่สาว หรือหลานๆ หรือบุตรบุญธรรม หรือ คุณป้า คุณอา อยู่ท่ามกลางตัวคุณเองกับความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้า ดังนั้น พระเจ้าตรัสว่า พวกเขาก็ถูกกักขัง สิ่งนี้เกิดขึ้นบ่อยมากๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้พวกเขาไม่ได้สังเกตให้ดีๆก็จะไม่รู้

โดยทั่วไปบุคคลที่อยู่ในชีวิตของคุณได้ต้องการความเอาใจใส่ สำหรับการที่จะให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น ที่ซึ่งเขาจะมาขโมยเวลา กลายเป็นอันตรายและสร้างความเสียหายต่อ ความสัมพันธ์ของท่านกับพระเจ้า

ในปัญหาเหล่านี้ โบสถ์ไม่ได้ให้ความสนใจหรือเน้นแต่ เหมือนเป็นเรื่องปกติ และมักจะบอกว่า ให้เอาคนเหล่านั้นมาโบสถ์กับท่านด้วย หลังจากนั้นทุกสิ่งจะดีขึ้นถ้าคุณได้ทำตาม อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านั้นไม่ได้แก้ปัญหา เพียงแต่ให้เราได้อ่อนน้อมหรือจำนนกับปัญหาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์หรือผู้คนที่ท่านนำไปที่โบสถ์ทุกคนเหล่านี้ รบกวนความสัมพันธ์การติดสนิทกับพระเจ้า ไม่ได้ทำให้แตกต่างในผลลัพธ์ ทั้งสองสิ่งได้เอาคุณออกห่างจากการรับใช้พระเจ้า (ที่จะได้ตื่นเต้น ผจญภัย เผชิญทุกสิ่งได้และมีความสุขกับพระองค์ )

พระเยซูคริสต์ ได้กล่าวไว้ในพระกิติคุณ บอกว่า ท่านต้องเอาคนเหล่านี้ ออกไปไว้ข้างหลังอย่าให้เป็นสิ่งกีดขวาง ถ้าคนเหล่านั้นได้รบกวนการรับใช้พระเจ้า พระเยซูคริสต์ไม่ได้อ้างอิงในสถานะการณ์ นี้ว่าอาจะเกิดขึ้น แต่พระองค์ได้บอกว่าเหตุการณ์นี้มีเกิดขึ้นแน่ๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะถ้าท่านได้คำนวณแบบคณิตศาสตร์คิดเป็นเปอร์เซนต์ คนที่รอดและคนที่ไม่รอดในครอบครัว ท่านจะพบว่า จำนวนน้อยว่าในครอบครัวหนึ่งๆจะรอดไม่ถึงสองคนในแต่ละครอบครัว

สมาชิกครอบครัวคนที่ไม่ได้รับความรอดมีมากกว่า สมาชิกจำนวนมากกว่าที่ยังไม่ได้รับความรอด มารซาตาน จะใช้และทำทุกอย่างที่จะทำลายความสัมพันธ์ของท่านหรือการรับใช้ของท่านที่มีต่อพระเจ้า ถ้าคนที่ยังไม่ได้รับความรอดได้มีโอกาศรบกวนเวลาของคุณบ่อยๆ งานของซาตานก็ประสบผลสำเร็จ (ตามเป้าหมายที่วางไว้จากนรก)

โอกาสครั้งหนึ่งที่พระเจ้ามาถึงในชีวิตของท่าน พระองค์จะยินดีอย่างยิ่งพระองค์จะเอาเวลายุ่งๆของคุณออกไป โดยพระองค์จะปลดท่านให้เป็นอิสระโดยให้มีเวลาว่างเพียงพอที่จะเรียนรู้จักพระเจ้า และใช้เวลาที่จะรับใช้โลกนี้น้อยลงหรือรับใช้คนอื่นที่อยู่บนโลกน้อยลง พระเจ้าปรารถนาที่จะให้ท่านเป็นอิสระในเรื่องของเวลา ให้มาถึงจุดของความเบื่อหน่าย ที่ซึ่งท่านจะมีเวลาว่างสำหรับพระองค์ และ สนใจการทรงเรียกจากพระองค์เท่านั้น

อิสยาห์ 64:4 โอ ข้าแต่พระเจ้า ตั้งแต่เริ่มแรกของโลก ไม่มีผู้ใดได้ยิน หรือทราบด้วยหู หรือตาได้เห็น สิ่งทั้งหลายซึ่งพระองค์ทรงเตรียมไว้เพื่อบรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ นอกเหนือพระองค์
64:4 For since the beginning of the world men have not heard, nor perceived by the ear, neither hath the eye seen, O God, beside thee, what he hath prepared for him that waiteth for him.

ถูกผูกมัดโดยการทำงานจ้าง

การผูกมัดโดยการทำงานจ้าง เป็นความต้องการแรกเริ่มที่ต้องที่ก่อน แน่นอนที่สุดสิ่งนี้ทำให้สร้างความเสียหายในการที่จะติดสนิทกับพระเจ้า เมื่อการทำงานจ้างของท่านสำคัญกว่าทุกสิ่งและรวมถึงพระเจ้าด้วย พระองค์เจ้ามาเป็นอันดับสอง ดังนั้นแน่นอนได้ตั้งหนทางของตัวเองเดินไปนรกอย่างรวดเร็ว พระเจ้าคือผู้ซึ่งจัดเตรียมท่านทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็น ความเชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะความจำเป็นในเชี่ยวชาญทางด้านการค้า ที่จะประสบผลสำเร็จ ในสิ่งที่คุณทำ แต่ถ้าคุณได้เอาความเชี่ยวชาญเหล่านี้ มาเหนือพระเจ้าผู้ทรงที่จัดเเตรียม

คุณได้พิสูจน์ให้เห็นว่า คุณไม่ได้รู้สึกถึงพระคุณของพระเจ้าที่เป็นผู้จัดเตรียม และพระเจ้าจะไม่เอาความเชี่ยวชาญเหล่านี้มาเป็นการอวยพร และตรงกันข้ามจะเป็นการสาปแช่งอย่างร้ายแรงที่สุด ถ้าบุคคลหนึ่ง หรือพวกเขาตัดสินใจอย่างแน่นอนที่จะไม่ให้การงานหรือส่วนของงานที่ทำมารบกวนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระเจ้า

ดังนั้นพระเจ้าจะปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานที่จะทำให้เวลาเหล่านั้นลดน้อยลงเหลือการทำงานใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่ง ที่ซึ่งไม่ต้องทำงานซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมได้เห็นด้วยสายตาของผมเอง ในหลายๆโอกาศ หมายถึงที่สิ่งมาถึงตัวผม และพวกเขาที่รักพระเจ้า ติดสนิทกับพระเจ้า

ถ้าคนเหล่านี้ต้องการที่จะรับใช้พระเจ้า พระเจ้าจะจัดเตรียมหนทาง ที่ซึ่งการถูกกักขังในเรื่องของเวลาจากการทำงานจะไม่มามีอำนาจเหนือพวกเขา งานนี้ได้ทำขึ้นแบบมีประสิทธิภาพอย่างที่สุด แต่อย่างไรก็ตามทั้งความพยายามและความคิดที่จำเป็นในการเป็นมืออาชีพ ส่งผลท้ายสุดที่จะไม่เสียเวลาและการทำงานเวลาจะลดลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง

ความคิดที่ถูกกักขัง

การกักขังชนิดสุดท้ายคือ พวกเราจะมาถกเถียงกันในบทนี้ ที่สิ่งที่ได้ยึดคิดว่าถูกต้องอยู่ในความคิดของแต่ละคน ความคิดได้ถูกรวบรวมและเริ่มตัดสินใจที่จะสูญเสียความพยามยาม ในความสามารถที่จะติดต่อกับพระเจ้า หรือที่จะเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า

นี้คือเสียงในตัวท่านซึ่งบอกว่าพระคำภีร์ไบเบิ้ลนั้นอยากเกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้ และการเปลี่ยนแปลงในโบสถ์เกิดขึ้นเป็นศาสนาเพราะได้รับคำสอนที่เป็นความคิดของมนุษย์ มาสอนรวมอยู่มาแปลความหมายพระคำของพระเจ้า ซึ่งทำให้ไม่ได้นำสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตในความประพฤติและส่งผลถัดไปคือ การรับใช้ของท่านพระเจ้าไม่เกิดผล (เพราะไม่ได้ติดสนิทกับพระเจ้าด้วยตัวเอง)

นี้คือเสียงที่บอกท่านว่าคนในโบสถ์ คือ ผู้นำ ศิษยภิบาล การมิชชันนารีต่างๆ นั้นได้จบการการศึกษามาเป็นอย่างดี ที่จะช่วยเราเข้าใจพระคำของพระเจ้า และที่ซึ่งปราศจากความช่วยเหลือของพวกเขาแล้ว ท่านไม่สามารถที่จะเข้าใจพระคำภีร์ได้ ทั้งหมดที่กล่าวไปเป็นเสียงของซาตาน

หลายปีที่ผ่านมา พระเจ้าได้ตักเตือนผม ให้ระวังความคิดของตัวผมเอง เพราะ สามารถที่มีโอกาศที่จะหลอกตัวเอง พระเจ้าบอกว่า สิ่งที่ชั่วร้ายมากกว่าพวกปิศาจ คือ ความคิดลึกลับในที่ออกจากตัวของมนุษย์เอง

เริ่มแรกความคิดเสียงในตัวผม พยายามที่จะผลักดันผม ให้เดินออกจากสิ่งพระเจ้าสั่งให้ผมทำ แต่เมื่อผมจำได้ว่า พระองค์เคยเตือนผม ว่าความคิดผมนั้นเป็นอย่างไร ผมจะทิ้งความคิดนั้น และเริ่มต้นที่จะกลับมาที่ในการดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า ที่ได้เรียกมาให้ผมเดินบนพื้นฐานพระคำภีร์ หลังจากเวลาผ่านไปความคิดเสียงของตัวผม ความคิดเดิมๆ(เนื้อหนังตัวเก่า) ได้ไม่ได้มีพลังอำนาจ กลายเป็นเพียงแค่ส่วนน้อย หลังจากที่ได้อ่านพระคำภีร์ ศึกษาด้วยตัวเอง วันละสี่ถึง ห้า ชั่วโมง ความคิดเสียงของตัวเองนั้นได้ออกจากไป

การที่จิตวิญญาณนั้นได้ถูกผูกมัดโดยความคิดเหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากลำบากที่สุดที่จะเป็นอิสระ เพราะความคิดนี้ได้ติดต่อกับใต้จิตส่วนลึกซี่งมีอิทธิพลอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นเครื่องมือเริ่มต้นของซาตาน ความพยายามของซาตานที่พยายามจะเอาท่านออกห่างจากทางฝ่ายจิตวิญญาณ หรือล้มลงในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณ ที่ซึ่งทำงานในความคิดของท่านว่าถ้าออกมาจากโบสถ์ เป็นการที่จะเสี่ยงที่ออกจากที่โบสถ์ เพราะท่านอาจเสียผลประโยชน์ที่จะได้รับ หรือสิ่งที่ท่านได้ทำไปในโบสถ์

ความจริงถ้าทุกท่านได้ติดสนิทกับพระคำของพระเจ้า ไม่ใช่คำสอนที่ผสมความคิดของมนุษย์ใส่ลงไป กลายเป็นคำสอนที่โบสถ์สอนออกมา หรือ คำสอนในศาสนาที่ทุกท่านได้เชื่อเกิดจากความคิดมนุษย์รวมกลุ่มปฎิบัติตามกันมา ท่านจะไม่ประสบกับความล้มเหลว คำสอนของพระเยซูคริสต์ เป็นพระคำของพระเจ้า และพระองค์เป็นประตูของแกะทั้งหลาย พระเยซูคริสต์ เป็นทางผ่านที่ทุกท่านจะต้องผ่านทางนี้เพื่อที่จะเข้าสวรรค์

14:2 ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีคฤหาสน์หลายแห่ง ถ้าไม่มีเราคงได้บอกท่านแล้ว เราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย
14:2 In my Father's house are many mansions: if it were not so, I would have told you. I go to prepare a place for you.

14:3 และถ้าเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย
14:3 And if I go and prepare a place for you, I will come again, and receive you unto myself; that where I am, there ye may be also.

14:4 ท่านทราบว่าเราจะไปที่ไหนและท่านก็รู้จักทางนั้น"
14:4 And whither I go ye know, and the way ye know.

14:5 โธมัสทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกข้าพระองค์จะรู้จักทางนั้นได้อย่างไร"
14:5 Thomas saith unto him, Lord, we know not whither thou goest; and how can we know the way?

14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น