เชิญติชมได้ที่เมล์นี้นะครับ

angel_memmory@hotmail.com

มีอะไรใหม่

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มนุษย์คิดอะไรก็ออกมาเป็นตามที่เขาคิด ตอนที่หนึ่ง


สุภาษิต 23:7 เพราะเขาคิดในใจอย่างไร เขาก็เป็นอย่างนั้น …อิสยาห์ 55:8 เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ... เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด ความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้า สดุดี 94:11 พระเยโฮวาห์ทรงทราบความคิดของมนุษย์ว่าเป็นเพียงแต่ไร้สาระ โรม 8:5 เพราะ ว่า คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังก็ปักใจในสิ่งซึ่งเป็นของของเนื้อหนัง แต่คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณก็ปักใจในสิ่งซึ่งเป็นของของพระวิญญาณ สุภาษิต 16:3 จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระเยโฮวาห์ และแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนาไว้

ในระหว่างการสรรเสริญและนมัสการ ได้ ก้มศรีษะและตาของข้าพเจ้าปิดอยู่ ขณะนั้นข้าพเจ้าได้เห็นนิมิตร และพระคำตามมา ตอนแรกคิดว่านิมิตรนี้มาจากตัวข้าพเจ้าคิดและจิตนาการไปเอง แต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าไม่เคยคิดแบบนี้ หรือไม่สามารถคิดแบบนี้หรือจินตการภาพในสิ่งที่จะเกิดขึ้นแบบที่กำลังเห็น ได้




ข้าพเจ้าพบว่า ตัวเองได้นั่งอยู่ในห้องแบบลักษณะห้องเหมือน ถูกสร้างขึ้นมาชนิดกึ่งบ้านและห้องเลบ สำหรับทุกกำแพงมีหนังสือที่จะศึกษา ทั้งหนังสือเก่าและหนังสือใหม่ และมีโต๊ะเก่าๆและเก้าอี้อยู่ปลายสุดของห้อง, มีเก้าอี้นั่งดูดี อยู่ที่กลางห้อง และมีเก้าอี้แบบนั่งพักผ่อนสะดวกสบายมากๆอยู่ปลายสุดของอีกห้องหนึ่งต่อจากหน้าต่าง และข้าพเจ้าพบว่าตัวเองได้นั่งอยู่ที่เก้าอี้นี้ แสง ที่เข้ามาในห้องเป็นแสงจากดวงอาทิตย์ ผ่านหน้าต่างซึ่งไกล้กับที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ ผ้าม่านทที่หน้าต่างถัดจากข้าพเจ้าอยู่แยกส่วนดึงกลับได้

และข้าพเจ้าได้เห็นตัวเอง นั่งอยู่ที่นั้นจ้องมองดู ฝุ่นกระจายจากแสงอาทิตย์ที่ทำให้เห็น ฝุ่นเหล่านั้นได้ควันมัวอยู่บนอากาศ แต่ไม่ตกลงที่พื้นและไม่ยกลอยสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ จนกระทั่งข้าพเจ้าได้รู้ว่า ไม่ได้เป็นนิมิตรจากตัวข้าพเจ้าเอง แต่เป็นนิมิตรมาจากพระเยซูคริสต์เจ้า เพราะข้าพเจ้าพิจารณาตัวเองแล้ว ข้าพเจ้าไม่เคยที่จะจินตการสิ่งเหล่านี้

ข้าพเจ้า จึงเริ่มต้นพินิจดูฝุ่นควันเหล่านี้ ให้ไกล้มากขึ้น ว่าพระองค์จะให้มองสิ่งนี้ เพื่อสำแดงบางอย่าง แก่ข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้ามองระดับฝุ่นมัว ได้เห็นรายละเอียดปลีกย่อยว่า ไม่ใช่แค่ลอยและเป็นมัวๆ แต่เกี่ยวกับ ส่วนประกอบบางชนิดที่ไม่ใช่ฝุ่นมัว แต่ปรากฏเหมือนว่ายน้ำอยู่มากกว่าที่จะลอยไปมาอยู่กลางอากาศ แต่ ความจริงส่วนประกอบนี้ดู เหมือน จะว่ายน้ำไปมาเหมือน แฟชั่น ข้าพเจ้าได้เห็น เซลล์น้ำเชื้อ(อสุจิ) มากมาย ว่ายอยู่เกี่ยวกับภาพยนตร์ เป็นวิทยาศาตร์ เคลื่อนไหวแบบเร็วมาก ไม่คงที่ ดังนั้นข้าพเจ้าสังเกต พินิจพิจารณา ส่วนประกอบเหล่านั้น ไกล้มากขึ้น และผมสามารถเห็นว่ามันไม่ใช่แค่เพียงสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่มันปรากฏแบบมีความแข็งแรงมากกว่า กลุ่มอื่นๆ เพราะดูเหมือนจะหนากว่า 3-4 เท่าของขนาดปกติ เซลล์ น้ำเชื้อ(อสุจิ)เหล่านี้ได้ส่วนประกอบแข็งแรง วิ่งไปมา ในทาง ที่เป้าหมายและวัตถุประสงค์ ขณะที่กลุ่มที่อ่อนแอ บางกว่า ไม่มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ในฝุ่นมัวนั้น ข้าพเจ้าจึงเริ่มแปลกใจว่าแล้วความจริงในนิมิตรอะไรที่สิ่งที่ผมต้องนำมา เปิดเผยเป็นพยานสิ่งเกี่ยวกับนิมิตรเหล่านี้คืออะไร



ข้าพเจ้า จึ่งเริ่มมีคำถามกับพระเยซูคริสต์ ช่วยอธิบาย ในนิมิตรนี้ เพื่อข้าพเจ้าจะได้เข้าใจจุดประสงค์ของพระองค์ ในนิมิตรนี้ ถ้าปราศจากอธิษฐานขอความเข้าใจในฝ่ายวิญญาณ นิมิตรนี้ไม่ได้ มีความหมายอะไร

พระองค์ได้ตรัสตอบว่า ทั้งหมดทุกสิ่งที่เจ้าเห็นในนิมิตรคือ เซลล์น้ำเชื้อ(อสุจิ)เหล่านี้ คือตัวแทน ของ คำพูด /ความคิด (ทั้งหมด) ซึ่งอยู่ในท่ามกลางในความคิดจิตใจของมนุษย์ สิ่งเหล่านั้นเป็นคำพูดออกมาจากรูปร่างของความคิดที่มนุษย์คิดกันทั้งหมด คำพูด /ความคิด ที่เจ้าเห็นปรากฏเป็นเนื้อหนังภายนอกและสิ่งนั้นดูเหมือนจะเป็นจุด ที่ไม่มีจุดหมาย เพราะความคิดนั้นขาดเป้าหมาย สิ่งเหล่านี้เป็น คำพูด /ความคิด อยู่ ท่ามกลางสมองของคิดของมนุษย์ ซึ่งไม่มีชีวิตหรือเป้าหมายในนั้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นความคิดที่ไม่มีความสังเกต พิจารณา นำมาใคร่ครวญหรือเชื่อว่า แต่ก็คงอยู่ในสมองที่เป็นความคิดนอนอยู่

เหตุผล ที่ว่าความคิดเหล่านั้นที่ไม่มีความสังเกต พิจารณา นำมาใคร่ครวญหรือเชื่อว่า เพราะ พวกเขาคิดว่า ไม่ควรค่าพอแก่การพิจารณา หรือที่กลับมามองย้อนทบทวน ว่าเป็นสิ่งที่มีค่า และอยากได้ หรืออยากเคารพแบบสัตย์ซื่อ หรือพวกเขาคิดว่า คำพูด /ความคิด นั้นพวกเขาไม่ได้ชอบ หรือนำมาเป็นแบบอย่าง สำหรับที่จะคิดทบทวน และ อาจคิดว่าความคิดเหล่านี้ เมื่อถ้านำมาเชื่อ หรือเคารพ จะเป็นสิ่งที่โง่เขลาหรือชั่วร้ายในความคิด หรือคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ที่มนุษย์จะสามารถทำได้ ความคิดเหล่านี้ ถ้านำมาเชื่อ หรือทำตาม พวกเขาอาจดูเหมือนจะไม่พอใจไม่อยากทำ เพราะไม่ได้กำไรอะไร มันก็สามารถคิดว่า คำพูด /ความคิด นั้นไม่ควรเชื่อ เพราะปรากฏแก่พวกเขาแบบคำปรึกษานี้ไม่สามารถที่จะนำให้เขาได้รับเกียรติหรือยกย่องชมเชยมาหาตัวเอง มันก็สามารถที่จะเป็นเหมือนเหตุผลทุกอย่างที่ คำพูด /ความคิด ปรากฏแบบฝุ่นละอองที่เหมือนไม่มีชีวิต กระจายไปในอากาศแบบไม่มีเป้าหมายอะไรเลย

ผ่านทางคำพูด /ความคิด ที่ได้ปรากฏขึ้นนั้นไม่ได้มีเป้าหมายใดๆ ความคิดต่างๆยังคงหยอดหยดอยู่รอบๆ แบบไม่ได้สังเกตในจินตาการต่างๆอยู่ในความคิดหลากหลายของมนุษย์แต่ละคน แต่ความคิดเหล่านี้นั้นได้รอคอยเพื่อจะแสวงหาโอกาศเพื่อที่จะเสนอตัวของพวก เขา(ความคิดในเนื้อหนังและเลือดมีชีวิต) เป็นเหมือนการแนะนำที่ถูกต้อง หรือคำปรึกษานั้นควรเป็นที่น่าเคารพหรือเชื่อถือ ในขณะนั้น จากนั้น คำพูด /ความคิดเหล่านั้นจะเกิดขึ้น คลอดออกมาเป็นชีวิต เพราะว่าพวก เขาได้ตัดสินใจเลือกแล้ว เหมือนเป็นคำปรึกษาต่างๆเพื่อที่จะให้มนุษย์คนหนึ่งดำเนินชีวิตตามสิ่งที่ ได้ตัดสินใจนั้น นี้คือในการปลุกตื่น ของความเชื่อต่างๆที่ซึ่งสามารถจะให้เกิดชีวิตทันที สำหรับ คำพูด /ความคิด เหล่านั้น ที่ซึ้งไม่เคยสักครั้งที่เอาใจใส่หรือจะพิจารณาใคร่ครวญก่อน

นี้ คือสิ่งที่ตื่นขึ้นสามารถที่จะเปลี่ยนเป็นเนื้อผิวหนังอย่างรวดเร็ว ชีวิตที่ไร้ค่า ไม่มีชีวิตชีวา ของฝุ่นดินที่มีส่วนอยู่ในคนเหล่านั้นที่ได้ดำเนินชีวิตอาศัยอยู่ในการมี ส่วนการมีสุขภาพดีเพราะว่า พวกเขาบัดนี้รู้ว่าเป้าหมายชีวิตคืออยู่เพื่ออะไร นี้คือสิ่งที่มีชีวิตอยู่และเป็นคำปรึกษาที่ดูแข็งแรงดี ที่ซึ่งมนุษย์เชื่อว่าการดำเนินชีวิตที่พวกเขาได้อาศัยอยู่ติดตามต่อจาก คำพูด /ความคิด ที่ได้ให้ ทิศทางและคำชี้แนะแก่พวกเขา เหมือน ต้องการจะทำอะไร หรือต้องการที่จะแสดงออกมาอย่างไร หรือ อะไรควรจะพูดในสถานะการณ์ไหนๆและสภาวะใดๆที่ได้เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา

เมื่อ มาถึงตรงจุดนี้ขณะที่พระเยซูคริสต์เจ้าได้พูดสิ่งเหล่านี้กับผม ที่ซึ่งพระวิญญาณของพระองค์ได้นำผมจำได้ในประสบการณ์อื่นๆ ที่ผมได้มีกับพระเจ้าที่ซึ่งผมได้พิสูจน์ ในความมืดและความสว่าง ที่ซึ่งผมได้เห็นว่าความมืดได้ล้อมรอบกลืนกินเข้ามาสู่โลกใบนี้ และความมืดได้ยังคงสม่ำเสมอนั้นไม่ได้มีอะไร นอกจากเป็นคำพูดต่างๆและคำพูดต่างๆนั้นได้หมุนออกมานั้นไม่ได้มีอะไรนอกจาก วิญญาณแห่งการโกหกของซาตาน ในแต่ละคำพูดหนึ่งคือวิญญาณหนึ่ง และแต่ละวิญญาณเกิดออกมาจากธรรมชาติของคำพูดนั้นก็คือที่มาของวิญญาณซึ่งมาจากคำพูดนั้นเอง แต่ละวิญญาณอยู่ท่ามกลางหัวใจทุกดวงและความคิดต่างๆของทั้งหมดที่ซึ่งเชื่อในสิ่งเหล่านั้น ผมได้เห็นมนุษย์แต่ละคนในธรรมชาติได้ตัดสินใจโดย ธรรมชาติของคำพูดต่างๆ/วิญญาณ ต่างๆที่พวกเขาได้เชื่อถืออยู่ ผ่านไปจากนั้นผมได้เห็นนิมิตรผมได้เห็นวิญญาณต่างๆหลากหลายชนิด ผมได้เห็นพวกวิญญาณต่างๆ(คำพูดต่างๆ)เหล่านั้นออกมาเป็นทั้งหมดของบุคคลิ กท่ามกลางพวกเขา และนี้คือสิ่งที่พวกเขาทั้งหมดได้ ไม่รู้จักความพอเพียง ยังมีความอยากจะได้ และความรักใครหลงไหลอยู่ในความคิดเพียงแต่เข้ามาสู่ตัวเองและ (ยังมีความอยากเกิดขึ้นมาจากวิญญาณซึ่งออกมาจากในแต่ละคำพูดที่ไม่ได้มาจาก คำพูดและคำปรึกษาของพระเจ้าซึ่งเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นที่ปรึกษา มหัศจรรย์) และพระเยซูคริสต์ยังคงตรัสต่อไปว่า

เจ้าได้เห็นและเข้าใจหรือยังว่า การมีสุขภาพดี เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเหล่านี้ การมีชีวิตในการที่จะมีส่วนที่ซึ่งอยู่ในฐานะ,สภาพการณ์,ภาวะ,ตำแหน่งต่างๆของพวกเขา เจ้าได้เห็นไหมว่าพวกเขาได้รับเพียงฐานะ,สภาพการณ์,ภาวะ,ตำแหน่งของพวกเขาเหล่านั้น เมื่อพวกเขาได้เป็นไปตาม คำพูด /ความคิด ที่ซึ่งมนุษย์คนหนึ่งๆเลือกที่จะเชื่อและวางใจใน? เจ้าสามารถที่จะเปรียบเทียบเข้าใจได้ไหมว่านี้คือเมื่อ คำพูด /ความคิด ที่ทุกคนได้เชื่อถือในแต่ละอย่าง ที่ซึ่งจากนั้นพวกเขาได้กลายมาเป็นการให้คำปรึกษาของมนุษย์แต่ละคนจัดตั้ง เป็นความถูกต้องชอบธรรมของเขาในสิ่งนั้น และความถูกต้องชอบธรรมในกระทำนั้นจากนั้นกลายมาเป็นกฏเกณฑ์ กฏหมายที่ซึ่งมนุษย์ทุกคนนั้นได้ดำเนินชีวิตของพวกเขาอยู่ภายใต้สิ่งเหล่า นั้น ? ว่าจะเลี้ยงดูลูกแบบไหน ว่าดำเนินธุรกิจให้ก้าวหน้าได้อย่างไร จะ ดูแลคนอื่นอย่างไร จะแต่งตัวแบบไหนถึงจะดูดี จะกินอาหารอะไรแบบไหน จะทำงานอาชีพอะไร ทำอย่างไรให้มีสุขภาพดี จะตัดสินใจ อย่างไรดีและควรจะนมัสการและรับใช้พระเจ้าอย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการยกตัวอย่างเล้กๆน้อยๆที่ได้เปิดเผย อะไรคือคำพูด /ความคิด ที่ซึ่งมนุษย์คนหนึ่งๆได้เลือกที่จะเชื่อสำหรับตัวเขาเอง คำพูด /ความคิด ที่เขาเชื่อและ วางใจเพื่อที่จะเป็นความถูกต้องเพียงพอเพี่อที่เขาจะดำเนินชีวิตของเขาตาม นั้น เจ้าได้เข้าใจและเปรียบเทียบได้หรือยัง โดยความคิด คำปรึกษาต่างเหล่านั้นได้ออกมาเป็นการกระทำต่างๆของมนุษย์ และคำพูดต่างๆที่พวกเขาจะพูดว่า เป็นความถูกต้องชอบธรรมของมนุษย์คนหนึ่งเมื่อถูกเปิดเผยออกมาให้เห็น ?

บัดนี้ให้เจ้าได้ใคร่ครวญสิ่งนี้ คำพูด /ความคิดมากเท่าไรที่ผ่านมาในความคิดของมนุษย์เป็นสาเหตุให้คิดในแต่ละวัน ไม่ว่าความคิดเหล่านั้นที่กำลังจะหยอดหรือเป็นคลื่นกำลังว่าย คำพูด /ความคิดนั้น มากเท่าไรที่ผ่านเข้ามาในความคิดจิตใจ เกี่ยวกับความฝันของเขาต่างๆ หรือการวางแผนอนาคต หรือการงานของเขา หรือเกี่ยวกับครอบครัวของเขา หรือเกี่ยวกับความปรารถนาของเรา หรือสิ่งที่จะสนองความต้องการ หรือเกี่ยวกับอนาคตของเขา หรือเกี่ยวกับการเงินของเขา หรือเกี่ยวกับศาสนาของเขา หรือเกี่ยวกับด้านการป้องกันการดูแลรักษา และความกังวลเกี่ยวกับชีวิต และหลายๆคำพูด /ความคิดที่ผ่านเข้ามาในความคิดของเขาที่ซึ่งเขาได้ยินในสิ่งต่างๆ พูดคุยกับคนอื่นๆ ?จำนวนเพิ่มมากขึ้นเท่าไรและเพิ่มขึ้นมากเท่าไรของ คำพูด /ความคิด ที่ผ่านเข้าสู่และจากหลากหลายคำปรึกษา จากนั้นเลือกเป็นการตัดสินใจที่เขาคิดว่าอันไหนเป็นคำปรึกษาที่ถูกต้องเพื่อ ตัวของเขาเองที่จะเชื่อถือว่าดีที่สุด(และกระทำจากนั้น)

จากนั้น คำพูด /ความคิด ผ่านเข้ามาในความคิดของเขาที่ซึ่งเขารักที่จะเชื่อถืออยู่ แต่โดยเหตุผลของความกลัวของเขาว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับเขา หรือโดยความกลัวของผลลัพธ์ที่ออกมา เขาคนนั้นได้ปิดซ่อนเร้นหรือป้องกันที่จะให้คำปรึกษาหารือต่างๆใน คำพูด /ความคิด เหล่านี้ เพื่อที่จะให้คนอื่นๆเชื่อตาม ผ่านทางความปรารถนาของหัวใจของเขาที่จะต้องการจะกระทำอยู่ด้วยเช่นกัน แม้แต่ด้วยกันกับหลายๆคน หลายๆ ใน คำพูด /ความคิด เพื่อที่จะเลือกที่จะเชื่อถือ เป็นไปได้ไหมที่เขาจะเลือก ไอเดียคำปรึกษาไหนที่สามารถจะเกิดผลเป็นการชีวิต(นิรันดร์) เมื่อทั้งหมดของ คำพูด /ความคิด ที่ ซึ่งเขาสามารถที่จะคิดได้นั้น ออกมาจากความตาย เป็นไปได้ไหมสำหรับเขาที่จะกระทำดีเมื่อขณะที่จินตนาการทั้งหมดของความคิด ของเขานั้นสามารถที่จะคิดได้เพียงความชั่วร้ายเท่านั้น ?

โยเอล 3:13 จงเอาเคียวเกี่ยวเถิด เพราะถึงฤดูเกี่ยวแล้ว เข้าไปซิ ย่ำเลย เพราะบ่อย่ำองุ่นกำลังเต็ม บ่อเก็บน้ำองุ่นล้นแล้ว เพราะว่าความชั่วของเขาทั้งหลายมากมายนัก 3:14 มวลชน มวลชนในหุบเขาแห่งการตัดสิน เพราะวันแห่งพระเยโฮวาห์ใกล้เข้ามาแล้วในหุบเขาแห่งการตัดสิน

ปฐมกาล 6:5 และ พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วของมนุษย์มีมากบนแผ่นดินโลก และเจตนาทุกอย่างแห่งความคิดทั้งหลายในใจของเขาล้วนแต่ชั่วร้ายอย่างเดียว เสมอไป

บัด นี้เราถามเจ้าเพื่อที่จะพิจารณาความคิดของเราที่ซึ่งได้พูดนั้นเป็นความจริง ความคิดของเจ้าไม่ใช่ความคิดของเรา เพราะสำหรับฟ้าสวรรค์นั้นสูงกว่าบนโลกฉันท์ใดนั้นหมายถึง ความคิดของเราสูงกว่า (อยู่เหนือ)เจ้าฉันท์นั้น ถ้า คำพูด /ความคิดของเจ้าไม่ใช่ คำพูด /ความคิด ของเรา จากนั้น คำพูด /ความคิดนั้น เป็นของใครที่เจ้าได้ ใคร่ครวญคิดอยู่และอธิษฐานอยู่ ? เจ้า ได้เชื่อคำพูดของเราอย่างแท้จริงหรือที่ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่มีความคิดใดๆของเจ้านั้นได้เป็นความถูกต้องชอบธรรม หรือเป็นความดี ? แล้วสิ่งเหล่านั้นที่เป็น คำพูด /ความคิด ทั้งหมดที่ผ่านไปสู่ความคิดของเจ้าเป็นสาเหตุให้คิดอยู่ในแต่ละวัน เจ้ามั่นใจได้หรือว่าใน คำพูดของเราไม่ใช่หรือที่กล่าวว่า สติปัญญานั้นบอกว่า ความถูกต้องชอบธรรรมนั้นเป็นของพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ? ถ้า ความคิดของเจ้าไม่ได้เป็นความคิดของเรา จากนั้นแน่นอนที่สุดว่า จะเป็นไปไม่ได้ที่ความชอบธรรมของเจ้านั้นจะเป็นความถูกต้องชอบธรรมของเรา และถ้าความถูกต้องชอบธรรมของเจ้าไม่ใช่ความชอบธรรมของเรา จากนั้นความชอบธรรมถูกต้องของใครที่เจ้าได้ใช้ชีวิตอยู่หลังจาก(คำปรึกษา นั้น)? แน่นอนที่สุดเจ้าไม่ได้ดำเนินชีวิตของ เจ้า ในลักษณะที่เราได้สร้างเจ้า(สร้างจากให้เชื่อฟังคำพูดของเรา)เพื่อที่จะมี การดำเนินชีวิตอยู่อย่างไร อีกครั้งเราขอถามเจ้า เพื่อให้เจ้าพิจารณา ถ้า คำพูด /ความคิดของเจ้านั้นไม่ใช่ความคิดของเรา จากนั้น คำพูด /ความคิดของใครที่เจ้าได้เชื่อถือและวางใจ อยู่ใน(ในการใช้ชีวิต) เราไม่บอกเจ้าหรือว่า เจ้าไม่ได้เป็นของตัวของเจ้าเอง ?

โรม 3:10 ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า `ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย ดาเนียล 9:7 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความชอบธรรมเป็นของพระองค์ แต่ความขายหน้าควรแก่พวกข้าพระองค์ ดังทุกวันนี้ ที่ควรแก่คนยูดาห์ ชาวกรุงเยรูซาเล็ม และอิสราเอลทั้งหมด ทั้งผู้ที่อยู่ใกล้และอยู่ไกลออกไป ในแผ่นดินทั้งหลายซึ่งพระองค์ทรงขับไล่เขาไปนั้น เพราะความละเมิดซึ่งเขาได้กระทำต่อพระองค์

ถ้า คำพูด /ความคิด ของเจ้านั้นไม่ใช่ คำพูด /ความคิดของเรา พระเจ้าตรัสดังนี้ จากนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีการตกลงกันระหว่าง มนุษย์กับพระเจ้า แล้ว อะไรจะเป็นสิ่งที่สามารถจะติดต่อสื่อสารกันได้ระหว่างสองคน ผู้ซึ่งได้ต่างกันในความคิดเห็นในทุกๆเรื่องและแต่ละความเชื่อและความวางใจ ใดๆที่ซึ่งความคิดของพวกเขาได้เห็นว่าความคิดของพวกเขาแต่ละคนเป็นสิ่งที่ ถูกต้องและเป็นจริง ? เจ้าเชื่อเราไหมว่าเมื่อเราได้บอกเจ้าว่าความคิดของเจ้าเกือบจะทั้งหมดนั้นที่เจ้าคิดว่าถูกต้องที่สุดนั้นจะไม่มีการตกลงเห็นด้วยกับในความคิดใดๆของเราแม้แต่นิดเดียว ? จากนั้นถ้า คำพูด /ความคิดของเรา เป็นความถูกต้องและเป็นความจริง และความคิดเหล่านั้นไม่ได้ตกลงเห็นด้วยกับกับ คำพูด /ความคิดของเจ้า จากนั้นใครคือผู้ที่แนะนำสอนเจ้าในความเชื่อว่าคำพูด /ความคิดของเจ้า นั้นเป็นความถูกต้องและเป็นความจริง ?

ใครคือผู้ที่ให้คำปรึกษาเจ้าเพื่อที่จะโต้แย้ง, ถก เถียง หรือเพื่อที่จะปฏิเสธ หรือพยายามหนักที่จะต่อต้าน หรือเพื่อที่จะให้เป็นความสว่าง หรือเพื่อที่จะต่อสู้ หรือเพื่อที่จะต่อต้าน หรือเพื่อที่จะเกลียดชัง คำพูด /ความคิด ทั้งหมดที่ซึ่งเจ้าได้ยินที่ซึ่งไม่เห็นด้วยกับที่ซึ่งเจ้าได้เชื่อและวางใจอยู่ มาจากที่ไหนที่ได้ชักชวนไปในทางผิด,ล่อลวงความปรารถนาที่ได้เผาไหม้อยู่ในเจ้าที่จะเชื่อว่า คำพูด /ความคิดของเจ้า นั้นเป็นความถูกต้องและเป็นความจริง ที่กำลังหลอกลวงเจ้าเพื่อที่จะเชื่อว่าไม่สามารถมีคำพูด /ความคิด ใดๆมากไปกว่านี้ที่จะมมีความถูกต้องมากกว่าความคิดของตัวเจ้าเอง ใคร/สิ่งใดที่อย่ท่ามกลางที่ได้อาศัย พำนักพักพิงอยู่ในความคิดของเจ้า

จะเป็นไปได้อย่างไรที่ คำพูด /ความคิดของเจ้าทั้งหมดนั้น ที่ซึ่งดูเหมือนจะถูกต้องและเป็นความจริงในสายตาทั้งสองของเจ้าเอง ไม่มีความเห็นด้วยใดๆที่จะตกลงกับ คำพูด /ความคิด ทั้งหมดของเรา มีสิ่งใดไหมที่ทำให้มนุษย์ทุกคนนั้นได้ถูกกักขังอยู่ใน คำพูด /ความคิด ที่ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นได้เชื่อถืออยู่ เพื่อที่จะรับใช้และเพื่อที่จะทำสิ่ง ต่างๆเพราะว่าพวกเขาได้เชื่อที่ความคิดต่างๆเหล่านั้นเป้นคำปรึกษาที่ถูก ต้องและเป็นความจริง มีอะไรคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์นั้นได้คิดว่าความคิดใดๆของพวกเขานั้นที่เป็น ความจริงถูกต้องมากกว่าความคิดของมนุษย์อีกคนหนึ่ง หรือในวิญญาณอื่นๆ หรือพระเจ้าองค์อื่นๆผู้ซึ่งได้มีความถูกต้องในความคิดของเขา มากกว่าพวกเขา ? ผู้ ใดที่จะสามารถเชื่อในพระเจ้าได้แบบราบรื่น ในเมื่อแท้จริงแล้วคำพูดของพวกเขาได้พิสูจน์ออกมาให้เห็นแล้วว่า พระองค์เจ้าได้เห็นว่า จิตนาการความคิดของมนุษย์นั้นเป็นไปในทางชั่วร้ายและความคิดของของพวกเขา ทั้งหมดนั้นได้ไม่ได้มีอะไรแต่เป็นสิ่งอนิจจัง ไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ใดๆเลย

อาโมส 3:3 สองคนจะเดินไปด้วยกันได้หรือนอกจากทั้งสองจะได้ตกลงกันไว้ก่อน

โรม 3:4 ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย ถึงแม้ทุกคนจะพูดมุสาก็ขอให้พระเจ้าทรงสัตย์จริงเถิด ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า

เพลงสดุดี 94:11 พระเยโฮวาห์ทรงทราบความคิดของมนุษย์ว่าเป็นเพียงแต่ไร้สาระ

ปฐมกาล 6:5 และ พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วของมนุษย์มีมากบนแผ่นดินโลก และเจตนาทุกอย่างแห่งความคิดทั้งหลายในใจของเขาล้วนแต่ชั่วร้ายอย่างเดียว เสมอไป

โยบ 35:2 "ท่านคิดว่า นี่ยุติธรรมหรือ ท่านพูดหรือว่า `ความชอบธรรมของข้าพเจ้ายิ่งกว่าของพระเจ้า'

เราได้เห็นความคิดต่างๆของมนุษย์ และเราได้เห็นความตาย และเราได้เห็นพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับความตายและทุกคนเหมือนกัน ที่ซึ่งออกมาจากทั้งหมดของเนื้อหนังและเลือด ทุกข์ทรมาน และคำพูด/ความคิดที่ ชั่วร้ายมนุษย์ยังคงคิดอยู่ไม่เห็นมีอะไรนอกจากความตายที่ได้ปกครอง ครอบงำอยู่เหนือ จินตนาการของพวกเขาที่อยู่ในความคิดฝ่ายเนื้อหนังและเลือด เราได้เห็นความตายนำมาซึ่งความคิดต่างๆของทั้งหมดของผู้คนซึ่งอยู่ในความคิด ฝ่ายเนื้อหนังตัวอย่างของความคิดฝ่ายเนื้อหนัง เช่น ความขมขื่น ความอยากจะได้อยากจะมีเหมือนคนอื่นๆ ความสับสน ความกังวล ความโหดร้ายทารุณ การแข่งขัน,การดิ้นรนต่อสู้,การโต้เถียง ความหยิ่ง ความห่วงใย,ความกลุ้มใจ,ความโดดเดี่ยว ความโลภ, ความเกลียด,ความอามาตแค้น ,ความตะกละ ความสงสัย การฆาตกรรม การถกเกียง การอยากให้ตัวเองมีเกียรติ ความไม่เชื่อ ความมุ่งร้าย,การผูกพยาบาท,ความจองร้าย เจตนาร้าย,เรื่องโกรธเคือง,การเป็นคนหน้าซื่อใจคต ความไม่อดทน การแก่งแย่งกัน, การทะเลาะวิวาท, ความขัดแย้งกัน ความอึดอัดจากสภาพกดดันความยโส,ความจองหอง ความเบื่อหน่าย,การคอรัป ,ความสิ้นหวัง ความต่ำต้อย ความขี้เหนี่ยว ความใจแคบ แก้แค้น,แก้เผ็ด,ทำโทษ,ผูกพยาบาท,(ความ)กลัวมาก,หวาดกลัว,ลังเลที่จะทำความตึงเครียด,ความบังคับ,การบีบคั้น,การไม่สมหวัง ,การทำลายตัวเองไม่ว่าจะเป็นการสาปแช่ง,ประณาม เช่นเดียวกันกับความกลัวหลากหลายรูปแบบที่ได้ทนมานอยู่ในความคิดฝ่ายเนื้อหนัง

เจ้าเชื่อหรือว่าเราได้สร้างมนุษย์เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในพันธนาการ,เป็นเชลยเป็นทาสถูกผูกมัดด้วยหลากหลายรูปแบบของ คำพูด/ความ คิด เหล่านั้น อีกครั้งเราได้บอกกับเจ้าว่า ความคิดของเราไม่ใช่ความคิดใดๆของเจ้า เพราะเราไม่เคยยอมจำนนหัวใจให้สิ่งเหล่านี้เข้ามา ทำให้เพลิดเพลินเพื่อที่จะให้สายตาถูกทดลองแม้แต่เพียงชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยแม้แต่จะสิ่งเหล่านั้นมีอิทธิพลอยู่เหนือความคิดเช่นเดียวกับความคิด ฝ่ายเนื้อหนังที่ได้กล่าวไปข้างต้น และคำพูด/ความคิด ที่ทุกข์ทรมานเหมือนแบบนี้ เพื่อไม่ให้ความตายในแบบเดียวกันทีได้นำเอามนุษย์ไป(เป็นเชลย) จะได้นำเอาเราไปด้วยกันเป็นเหมือนมนุษย์เหล่านั้น และเราตัวเองจะได้กลายเป็นเหมือนความตาย สิ่งเหล่านี้ได้หลอกลวงเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งได้จัดตั้งความถูกต้องชอบธรรมเพื่อการดำเนินชีวิตอยู่ในคำปรึกษาของ คำพูด/ความคิด เหล่านั้นทั้งหมด(ที่ไม่ได้มาจากเราผู้ทรงเป็นพระเจ้า) ไม่ใช่หรือ(ใช่ไหม) ?

อยู่ฝ่ายพระวิญญาณหรืออยู่ฝ่ายเนื้อหนัง
โรม 8:5 เพราะ ว่า คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังก็ปักใจในสิ่งซึ่งเป็นของของเนื้อหนัง แต่คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณก็ปักใจในสิ่งซึ่งเป็นของของพระวิญญาณ 8:6 ด้วยว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนังก็คือความตาย และซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณ (กฏของฝ่ายวิญญาณนั้นเป็นชีวิต /โรม.8:2และในการกระทำไม่มีใครกระทำได้ นอกจากพระเจ้าเป็นผู้กระทำช่วยเหลือ ) ก็คือชีวิตและสันติสุข โรม 8:2 เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย (คำพูด /ความคิดต่างๆของฝ่ายเนื้อหนัง )”.

เจ้าเชื่อหรือว่าเราได้เป็นเหมือนเจ้า ที่ซึ่ง คำพูด /ความคิด เช่นเดียวกันกับที่เจ้าได้คิดอยู่เหมือน คำพูด /ความคิด ที่เราได้คิดอยู่ ? เจ้ายังคงคิดอยู่อีกหรือทีเราบอกว่า ความคิดในฝ่ายเนื้อหนังนั้นไม่ใช่ความคิดใดๆของเรา? เจ้าคิดหรือว่ามนุษย์คนหนึ่งคนใดผู้ซึ่งได้ถูกนำโดยคำปรึกษาของคำพูด /ความคิดต่างๆจากเนื้อหนังนั้นจะเป็นมนุษย์แบบมีความคิดแจ่มใส บริสุทธิ์ ? เจ้าคิดจริงๆหรือที่เราจะอนุญาติให้ความคิดใดๆเหล่านั้นเพื่อที่จะนำเราไปในการตัดสินใจว่าเราควรจะทำอย่างไร ?

เจ้าได้เชื่อจริงๆหรือที่เราจะเคยได้อนุญาติตัวของเราเองนั้นเปลี่ยนกลายเป็นจินตนาการความคิดของความมืด ? เจ้าไม่ได้รู้จักความตายนั้นเป็นจินตการนั้นที่มีรูปร่างของความมืด และความมืดสำแดงตัวของมันเองอยู่ใน คำพูด /ความคิด ที่ปรากฏอยู่ในความคิดของฝ่ายเนื้อหนังและเลือด เจ้าเชื่อหรือว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยความไพบูลย์มากเกินความต้องการของพระ เจ้านั้นจะมีการตกลงใดๆกันกับความตาย ที่ซึ่งได้ปกครองอยู่เหนือจินตนาการของความคิดที่ได้ควบคุมความคิดของฝ่าย เนื้อหนังนั้น? เจ้า คิดจริงๆหรือว่าชีวิตที่เราได้สัญญากับเจ้านั้น ที่เจ้าจะรับนั้นเป็นคำปรึกษาของความอ่อนแอและความทุกข์ทนมาน น่าสมเพชต่างๆเหล่านี้ ?

2 ทิโมธี 1:7 เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา แต่ได้ทรงประทานจิตที่กอปรด้วยฤทธิ์ ความรัก และการบังคับตนเองให้แก่เรา

โรม 8:14 ด้วยว่าพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงนำพาคนหนึ่งคนใด คนเหล่านั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า

เพลงสดุดี 50:21 เจ้า ได้กระทำสิ่งเหล่านี้แล้ว เราก็นิ่งเงียบ เจ้าคิดว่าเราเป็นเหมือนเจ้า แต่เราจะขนาบเจ้า และเราจะรายงานสิ่งเหล่านั้นต่อหน้าต่อตาเจ้า

เพลงสดุดี 1:1 บุคคลผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย ผู้นั้นก็เป็นสุข 1:2 แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์ เขาไตร่ตรองถึงพระราชบัญญัติของพระองค์(โรม 8:2,6 )ทั้งกลางวันและกลางคืน

เราบอกเจ้าอีกครั้งเพื่อที่เจ้ารู้ว่า ความคิดต่างๆของเราไม่ใช่ความคิดใดๆของเจ้า เราได้เห็น คำพูด /ความคิด ที่ซึ่งมนุษย์ เชื่ออยู่ในหัวใจแต่ละดวงเมื่อเขาได้กล่าวโทษคนอื่นๆ เมื่อเขาได้จับผิดคนอื่นๆ เมื่อได้มีความชั่วร้ายตรงไปที่แต่ละคน เมื่อเขาได้พิพากษาคนอื่นๆ เมื่อเขาได้พูดให้ร้ายคนอื่นๆ เมื่อเราได้พูดสิ่งที่ผิดพลาดต่ออีกคนหนึ่ง เมื่อพวกเขาได้แผ่,หว่าน,ขยาย,ปล่อยข่าวลือ,เล่าลือ,ซุบซิบเกี่ยว กับอีกคนหนึ่ง เพื่อที่จะกล่าวประณามคนอื่นๆ เมื่อพวกเขาไม่ได้ยกโทษอีกคนหนึ่ง เมื่อพวกเขาได้พูดชั่วร้ายของคนอื่นๆ เมื่อพวกเขาได้กัดอยู่ข้างหลัง เมื่อพวกเขาได้ข่มขู่คุกคาม สยบ บังคับด้วยกำลังกับอีกคนหนึ่ง เทียบได้เท่ากับเป็นการแก้แค้น,แก้เผ็ด,ทำโทษ,ผูกพยาบาท ต่อกันและกันเมื่อคนหนึ่งได้ทำให้อีกคนหนึ่งสะดุดหรือทำบาปต่อต้านอีกคนหนึ่ง คำพูด /ความคิด ต่างๆเหล่านี้เป็นความชั่วร้ายและความอ่อนแอ ออกมาจากการชี้แนะ แนะนำของความคิดในมนุษย์เพื่อที่จะกระทำสิ่งเหล่านั้น ?

และ อีกครั้งเราได้ถามเจ้า เพื่อที่จะพิจารณาสิ่งนี้ เจ้าคิดหรือว่ามนุษย์คนไหนที่จะสามารถนำคำปรึกษาใดเหมือนเป็น มนุษย์ที่มีความคิดบริสุทธิ์ แจ่มใส จะมีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถคิดต่อตัวเองที่ซึ่งคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์ที่ บริสุทธิ์ มีความคิดแจ่มใส ในขณะเดียวกันที่เขาได้พิพากษาและกล่าวโทษ คนอื่นโดยปราศจากความเมตตากรุณา เห็นความจริงว่าในลักษณะเดียวกันนี้เขาจะถูกพิพากษา ในวันพิพากษาที่จะมาถึงในวันสุดท้าย ควรหรือไม่ที่มนุษย์จะเอาใจใส่,เก็นมาคิดใครครวญ,เหลียว มาดู คำปรึกษาของคำพูดต่างๆเหล่านั้น ว่าเวลาที่เข้าไกล้นั้น มาเร็วขี้นทุกที ที่การพิพากษาของเขาต่อคนอื่นๆนั้นจะพิพากษาเขาเองในวันพิพากษาพระที่นั่งสี ขาว ? เจ้าไม่รู้หรือว่าการพิพากษาทั้งหมดนั้นอยู่ในความชั่ว ช้า และ ไม่สมควรในลักษณะใดๆก็แล้วแต่ เพื่อที่จะสะสมพระพิโรธต่อต้านพวกเขาเองในวันพิพากษาโลก ? เจ้าคิดหรือ ว่าเราได้สร้างมนุษย์ในจินตนาการความคิดของ คำพูด/ความคิดเหล่านั้น จากนั้น คำพูด/ความคิด เหล่านั้นได้นำมนุษย์ที่เราได้สร้างขึ้นมาไปกระทำสิ่งเหล่านั้นที่นำมาซึ่งการทำลายตัวเองและกล่าวโทษตัวของเขาเองอย่างนั้นหรือ

ใคร จะคิดที่จะกระทำสิ่งเหล่านั้นเพราะสำหรับพวกเขาทั้งหมดเหล่านั้นได้กลายเป็น คนโง่เขลาและเสียสติแบบไม่ยั่งคิดที่ได้กระทำสิ่งเหล่านั้น(พิพากษาและกล่าวโทษ หรือกระทำอื่นๆ ตามความคิดเนื้อหนัง) (ความคิดเห็น ของผู้แปล เพราะพระเจ้าต้องการให้คนบาป มนุษย์ทุกคนบนโลกกลับใจไม่พินาศ เมื่อเข้าใจความรักของพระองค์ การแนะนำคำสอนที่มาจากพระองค์ เขาจะยินดีเชื่อฟังกระทำตามด้วยสุดใจ สุดกำลัง ความคิดด้วยความรักเพราะพระองค์ทรงหวังดีต่อจิตวิญญาณของเราจริงๆ เพื่อได้ชีวิตนิรันดร์ชีวิตแบบที่พระองค์ทรงสร้างเขาตามพระฉาย แต่ไม่ได้เทียบเท่าเสมอพระเจ้า )
มัทธิว 7:1 "อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกกล่าวโทษ 7:2 เพราะ ว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร ท่านจะต้องถูกกล่าวโทษอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด ท่านจะได้รับตวงด้วยทะนานอันนั้น 7:3 เหตุไฉนท่านมองดูผงที่อยู่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม่ยอมพิจารณาไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่านเอง
7:4
หรือเหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องของท่านว่า `ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของท่าน' แต่ดูเถิด ไม้ทั้งท่อนก็อยู่ในตาของท่านเอง 7:5 ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้

พระเจ้าจะทรงพิพากษาเราทุกคน
โรม 2:1 เหตุ ฉะนั้น โอ มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร เมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่นนั้น ท่านไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะเมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่น ท่านก็ได้กล่าวโทษตัวเองด้วย เพราะว่าท่านที่กล่าวโทษเขาก็ยังประพฤติอยู่อย่างเดียวกับเขา 2:2 แต่เรารู้แน่ว่าการที่พระเจ้าทรงพิพากษาลงโทษคนที่ประพฤติเช่นนั้นก็เป็นตามความจริง 2:2 แต่เรารู้แน่ว่าการที่พระเจ้าทรงพิพากษาลงโทษคนที่ประพฤติเช่นนั้นก็เป็นตามความจริง
2:3 โอ มนุษย์เอ๋ย ท่านที่กล่าวโทษคนที่ประพฤติเช่นนั้น และท่านเองยังประพฤติเช่นเดียวกับเขา ท่านคิดหรือว่าท่านจะพ้นจากการพิพากษาลงโทษของพระเจ้าได้
2:4 หรือ ว่าท่านประมาทพระกรุณาคุณอันอุดมและความอดกลั้นพระทัย และความอดทนของพระองค์ ท่านไม่รู้หรือว่า พระกรุณาคุณของพระเจ้านั้นมุ่งที่จะชักนำท่านให้กลับใจใหม่ 2:5 แต่ เพราะท่านใจแข็งกระด้างไม่ยอมกลับใจ ท่านจึงส่ำสมพระพิโรธให้แก่ตัวเองในวันแห่งพระพิโรธนั้น ซึ่งพระเจ้าจะทรงสำแดงการพิพากษาลงโทษที่เที่ยงธรรมให้ประจักษ์

เราได้มอบในแต่ละคนของพวกเจ้าในการแนะนำที่ดีที่ซึ่งบอกว่า เจ้าจงได้เลิกที่จะดำเนินชีวิตตาม คำพูด/ความคิด ของฝ่ายเนื้อหนัง ที่ซึ่งพวกต่างชาติเจนไทล์คนที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้านั้นดำเนินชีวิตอยู่ ? เราได้ขอให้เจ้าวางมนุษย์เก่าที่ซึ่งคอรัปในคำพูด/ความคิด ของความตายและเจ้าจะได้สวมใส่มนุษย์ใหม่ที่ซึ่งดำเนินชีวิตอยู่ใน คำพูด/ความคิด ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของเรา คำพูด/ความคิดที่ ซึ่งเต็มไปด้วยชีวิตนิรันดร์(ไม่มีวันตาย) มีคำเขียนไว้ว่า ความรู้ที่เป็นชีวิตของพระเจ้าสามารถพบได้ในความรู้สึกนึกคิดที่เป็นจิตใต้ สำนึกของผู้ซึ่งความคิดเป็นจิตวิญญาณ(วิญญาณของพระเจ้า) ผู้ซึ่งดำเนินชีวิตติดตามวิญญาณของเราในทางตรง(มีทางเดียว)และทางแคบจะทำไปสู่การมีชีวิต เจ้าปรารถนาความตายจะได้การกระทำในความคิดของเจ้า และเจ้าปรารถนาการมีชีวิตเพื่อที่จะกระทำในความคิดของเจ้า ความคิดอันไหนเป็นสิ่งที่ถูกต้องต่อเจ้า ?

จงทิ้งมนุษย์เก่าและสวมมนุษย์ใหม่ทุกวัน

เอเฟซัส 4:17 เหตุ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอยืนยันและเป็นพยานในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป ท่านอย่าดำเนินตามอย่างคนต่างชาติ ที่เขาดำเนินกันนั้นคือมีใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไม่มีสาระ 4:18 โดย ที่ความเข้าใจของเขามืดมนไปและเขาอยู่ห่างจากชีวิตซึ่งมาจากพระเจ้า เพราะเหตุความโง่ซึ่งอยู่ในตัวเขา อันเนื่องจากใจที่แข็งกระด้างของเขา

โรม 6:4 เหตุ ฉะนั้นเราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในความตาย นั้น เหมือนกับที่พระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย โดยเดชพระรัศมีของพระบิดาอย่างไร เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยอย่างนั้น 6:5 เพราะว่าถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเป็นขึ้นมาอย่างพระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายด้วย 6:6 เรา ทั้งหลายรู้แล้วว่า มนุษย์เก่าของเรานั้นได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป

เอเฟซัส 4:21 ถ้าแม้ท่านได้ฟังเรื่องพระองค์ และได้รับการสอนโดยพระองค์ตามความจริงซึ่งมีอยู่ในพระเยซูแล้ว 4:22 ท่านจงทิ้งมนุษย์เก่าของท่านซึ่งคู่กับวิถีชีวิตเดิมนั้นเสีย อันจะเสื่อมเสียไปตามตัณหาอันเป็นที่หลอกลวง 4:23 และจงให้จิตใจของท่านเปลี่ยนใหม่ 4:24 และให้ท่านสวมมนุษย์ใหม่ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง 4:25 เหตุฉะนั้นท่านจงเลิกพูดมุสาเสีย และ `จงต่างคนต่างพูดความจริงกับเพื่อนบ้าน' เพราะว่าเราต่างก็เป็นอวัยวะของกันและกัน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น